อุปกรณ์ทำงานบนที่สูง (Fall Protection)

อุปกรณ์ป้องกันการตก (Fall Protection)

 

        

 

 

อุบัติเหตุอันเกิดจากการตกจากที่สูง 

 

 

 

 

       การตกจากที่สูงยังคงเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดของการเสียชีวิตจากการประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ในการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการตกจากที่สูง พบว่า 54% ของคนงานที่เสียชีวิต ไม่ได้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันการตกส่วนบุคคล และ คนงานไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมเรื่องการทำงานบนที่สูง การทำงานบนที่สูงเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง หากเกิดความผิดพลาดระหว่างการปฏิบัติงานอาจทำให้คนงานตกลงมาและเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการออกกฎหมายบังคับให้สถานประกอบการหรือนายจ้างต้องให้ความสำคัญกับคนงานที่ทำงานบนที่สูงให้ทำงานได้อย่างปลอดภัยตลอดการทำงาน รวมไปถึงจะต้องจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันการพลัดตกจากที่สูงที่ได้มาตรฐานสากล 

 

          กฎกระทรวงฯ พ.ศ. ๒๕๖๔: กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการด้านความปลอดภัยในการทำงานในที่สูง ดังนี้

 

  • การประเมินความเสี่ยง: นายจ้างต้องประเมินความเสี่ยงอันตรายจากการทำงานในที่สูง และกำหนดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
  • การจัดทำแผนปฏิบัติงาน: ต้องมีแผนปฏิบัติงานที่ปลอดภัยสำหรับการทำงานในที่สูง
  • อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูง (Fall Protection Equipment): กำหนดให้ใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน เช่น ชุดสายรัดนิรภัย (Harness), สายช่วยชีวิต (Lanyard), จุดยึด (Anchorage) และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • การตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์: ต้องตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
  • การติดตั้งราวกันตก: ในกรณีที่จำเป็น ต้องติดตั้งราวกันตกที่มีความสูงตามที่กำหนด (ไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 1.10 เมตร)
  • การจัดให้มีการฝึกอบรม: นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการทำงานในที่สูงอย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูงอย่างถูกต้อง
  • การติดป้ายเตือน: ต้องติดป้ายเตือนอันตรายในบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการตกจากที่สูง
  • ความสูงที่ต้องมีมาตรการป้องกัน: โดยทั่วไป หากทำงานสูงจากพื้นดิน 2 เมตรขึ้นไป ถือว่าเป็นการทำงานในที่สูง และต้องมีมาตรการป้องกันการตก
  • การทำงานบนที่สูงเกิน 4 เมตร: ต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การสวมใส่เข็มขัดนิรภัยหรือสายช่วยชีวิต การใช้ตาข่ายนิรภัย และการมีราวกันตก

 

   มาตรฐานของอุปกรณ์กันตกของต่างประเทศมีหลักๆอยู่ แบบ

          1. ANSI   

   เป็นมาตรฐานของอเมริกา มาตรฐานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นเอกสารที่มีอํานาจในการป้องกันการตกจากที่สูง และเป็นข้อมูลอ้างอิงในข้อบังคับของ OSHA และ แนวทางปฏิบัติอื่นๆ ของอุตสาหกรรม การแก้ไขล่าสุดคือ Z359.14-2021 ซึ่งเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม 2021 ข้อกําหนดที่อัปเดตสําหรับอุปกรณ์ที่ดึงกลับได้เอง (SRD) ที่ใช้ในระบบป้องกันการตกจากที่สูง

   มาตรฐาน Z359.14 อุปกรณ์ที่ดึงกลับได้เองถูกกําหนดให้เป็น "อุปกรณ์ที่มีสายพันกลองที่ล็อกโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มเกิดการตกเพื่อหยุดผู้ใช้ แต่จะจ่ายออกจากและดึงกลับเข้าไปในกลองโดยอัตโนมัติในระหว่างการเคลื่อนไหวปกติของบุคคลที่ผูกสายไว้"

         2. OSHA 

 เป็นเหมือนส่วนนึงของกรมแรงงานของอเมริกา การอบรบและมีความรู้มากพอเพื่อที่จะใช้งานอุปกรณ์กันตกประกอบด้วยข้อบังคับที่ครอบคลุมซึ่งกําหนดคุณลักษณะ การติดตั้ง การตรวจสอบ และการฝึกอบรมที่จําเป็นสําหรับระบบเชือกช่วยชีวิตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

      OSHA 1910.140(b)  กําหนด SRL ในลักษณะเดียวกับ ANSI โดย OSHA 1910.140 ครอบคลุมข้อกําหนดและมาตรฐานสําหรับระบบป้องกันการตกจากที่สูงส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม แตกต่างจาก ANSI ตรงที่ OSHA ไม่ได้แบ่ง SRLออกเป็นคลาสต่างๆ

      OSHA 1910.140(d)(1)  กําหนดข้อกําหนดพื้นฐานบางประการสําหรับ SRL มาตรฐานนี้จํากัดแรงหยุดสูงสุดของคนงานไว้ที่ 1,800 ปอนด์ และระยะชะลอความเร็วสูงสุดไว้ที่ 3.5 ฟุต นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าระบบจะต้องสามารถรองรับคนงานในเหตุการณ์พลัดตกได้โดยไม่สัมผัสบริเวณคอและคาง

          3. EN 

 หมายถึง European Norm หรือที่เรียกว่า European Standards หมายถึงมาตรฐานที่พัฒนาและเผยแพร่โดย European Organisation for Standardization (CEN) ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการในหลายสาขา รวมถึงการก่อสร้าง เครื่องจักร ไฟฟ้า การแพทย์ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

       1.มาตรฐาน EN 795 : 2012 คือ มาตรฐานด้านความปลอดภัยของกลุ่มประชาคมยุโรป ที่อธิบายถึงข้อกําหนดทางเทคนิคที่ใช้กับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลหรือระบบเกี่ยวยึดระบบป้องกันการตกในแนวนอน ใช้ได้กับความลาดเอียงไม่เกิน 15 °

       2. EN 353-2:2014 เป็นข้อกำหนดและวิธ๊การทดสอบสำหรับระบบป้องกันการตกแบบมีไกด์ รวมถึงสายยึดแบบ
  ยืดหยุ่นเพื่อให้แน่ใจว่าป้องกันการตกได้ มุมเอียงไปข้างหน้าหรือมุมเอียงด้านข้าง อยู่ระหว่าง 85° ถึง 95°

      3. EN 355:2002  ระบุข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับตัวดูดซับพลังงานที่เป็นไปตามมาตรฐานยุโรปที่สามารถรวมเข้า
  กับเชือกป้องกันตก ตัวป้องกันการตกแบบดึงกลับได้

      4. EN 358:2018 ใช้กับเข็มขัดและเชือกคล้องที่ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการจัดตำแหน่งหรือควบคุมการทำงาน

      5. EN361:2002 กำหนดวิธีการทดสอบ คำแนะนำการใช้งาน เครื่องหมาย และบรรจุภัณฑ์สำหรับตัวสายรัดแบบเต็มตัว
  ซึ่งรับประกันความปลอดภัยของผู้ใช้ปลายทางในกรณีที่เกิดอันตรายจากการตก

      6. EN362: เป็นข้อกำหนดสำหรับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการตกจากที่สูงเช่น ขั้วต่อ คาราบิเนอร์และอลูมิเนียมและเหล็กทั้งหมดได้รับรองมาตรฐานEN362 มีกลไกการล็อคและขนาดต่างๆ

     7. EN365:2005 การกำหนดค่าทั่วไปของตำแหน่งการทำงานและการป้องกันการตกจากที่สูงนอกจากนี้ยังระบุถึงการทำเครื่องหมาย คู่มือการใช้งาน การตรวจสอบตามระยะเวลาการบำรุงรักษา การซ้อมแซมรวมถึงการบรรจุหีบห่อ

     8. EN517:2006 ข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับตะขอเกี่ยวกับนิรภัยบนหลังคา มาตรฐานนี้ระบุว่าตะขอนิรภัยต้องรับน้ำหนักนิรภัยได้เท่าใดและจะต้องทดสอบและรับรองอย่างไร

     9.EN813:2009 ข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับสายรักนิรภัยแลลมีจุดยึดต่ำสายนิรภัยแบบมีจุดยึดสามาถรใช้ในระบบการจำกัดการวางตำแหน่งการทำงาน

    10.EN1808:2015 เป็นมาตรฐานยุโรประบุถึงข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์การเข้าถึงแบบแขวน โดยใช้ได้กับอุปกรณ์ทั้งแบบถาวรและชั่วคราว

    11.EN60204-1:2006 คำแนะนำด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับอุปกณร์ไฟฟ้าสำหรับเครื่องจักร รวมถึงข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์

 

         เนื่องจาก อุปกรณ์กันตก เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานบนพื้นที่สูง เช่น การก่อสร้าง การซ่อมบำรุง หรือการทำความสะอาดอาคารสูง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการพลัดตก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ อุปกรณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อรัดกายของผู้ปฏิบัติงานให้ติดแน่นกับจุดยึดที่มั่นคง ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ปฏิบัติงานจะไม่ตกลงมาจากที่สูง

          สิ่งที่คนที่ทำงานบนที่สูงต้องใช้หลักๆ คือ เข็มขัดนิรภัย สายเซฟตี้นิรภัย จุดยึด และ เชือก เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันการ   ตกจากที่สูงและจำกัดระยะการตกได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงเวลาทำงานบนที่สูงคือความปลอดของอุปกรณ์ที่ใช้และต้องเช็คก่อนทุกครั้งก่อนใช้งานเพื่อระวังและเช็คความปลอดภัยของผู้ใช้เอง

        1.จุดยึด Anchor Point สำคัญมากเมื่อคุณต้องทำงานบนที่สูง เนื่องจากจุดยึดจะมีหน้าที่ในการยึดระหว่างอุปกรณ์ป้องกันการตกส่วนบุคคล (เช่น เข็มขัดนิรภัย เชือกนิรภัย) ผู้ใช้ควรติดจุดยึดเกี่ยวที่อยู่เหนือหรือระดับไหล่เป็นอย่างน้อย หากจุดยึดเกี่ยวต่ำกว่านี้ระยะทางของการตกจะเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งให้ผู้ใช้งานตกอยู่ในความเสี่ยงจุดยึดที่มั่นคงซึ่งสามารถรับน้ำหนักแรงที่เกิดขึ้นในกรณีที่มีการตกได้

       -  มีทั้งจุดหยุดแบบชั่วคราวและจุดยึดถาวร

       - จุดยึดชั่วคราว เป็นจุดยึดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ไม่ได้ติดตั้งให้ยึดเกาะกับตัวอาคาร   

       - จุดยึดที่เป็นแบบถาวรผู้ติดตั้งจะต้องได้ใบรับรองในการติดตั้ง รวมทั้งจุดยึดกับคอนกรีต

 

                  ตัวอย่างจุดยึดที่ปลอดภัย

                  ตัวอย่างจุดยึดแบบชั่วคราวและจุดยึดแบบถาวร

 

       2. เข็มขัดนิรภัย แบ่งได้ 2 แบบ ดังนี้

        - แบบเต็มตัว Body wear (full body harness) เป็นแบบที่ปลอดภัยที่สุดประกอบด้วยสายรัดรอบตัวช่วงอก ช่วงขา และไหล่ เพื่อกระจายแรงกระแทกเมื่อเกิดการตกผู้ใช้งานต้องสวมใส่ทั้งตัวไม่ใช่จุดใดจุดหนึ่งเป็นอุปกรณ์ที่คอยดึงและประคองผู้ใช้งานถ้าเกิดการตกโดยจะต้องเลือกเข็มขัดให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานและจะต้องมีจุดเชื่อมต่ออย่างน้อย 1 จุด ซึ่งปกติจะอยู่ด้านหลังสายรัดต้องทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่อ่อนนุ่มแต่ทนทาน เช่น โพลีเอไมด์ หรือ โพลีเอสเตอร์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการตกจากที่สูงจุดเชื่อมต่อ  

       - เข็มขัดนิรภัยแบบครึ่งตัว (Body Belt/Waist Belt): ไม่แนะนำให้ใช้ในงานกันตก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงที่ช่วงเอวหรือกระดูกสันหลังเมื่อเกิดการตก ปัจจุบันนิยมใช้เฉพาะในงานที่จำกัดการเคลื่อนที่ เช่น งานบนเสาไฟฟ้า

 

       ในการเลือกเข็มขัดกันตก (Harness) มีปัจจัยดังนี้

     - ต้องเข้าใจหน้างาน เช่น ความสูงของตัวอาคารถึงพื้นด้านล่างว่ามีความสูงอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อที่จะได้เลือกความยาวของเข็มขัดกันตกได้ถูกต้อง

     - เข้าใจการทำงานและคุณสมบัติเข็มขัดกันตก เช่น มีตัวพยุงหลัง หรือ D-ring ตะขอกันตก

     - ขนาดตัว รูปร่างของผู้ใช้งาน เพื่อที่จะเลือกใช้งานเข็มขัดกันตกได้ถูกต้อง

 

 

                                                        

        3. ตะขอกันตก เป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์กันตก จากที่สูงเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเกี่ยวหรือยึดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆในระบบกันตก เช่น เกี่ยวระหว่างเชือกนิรภัยกับห่วง D-ring บนเข็มขัดนิรภัย หรือเกี่ยวระหว่างเชือกนิรภัยกับจุดยึด (Anchor Point) 

                                        

       4. D-Ring คืออุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่บนชุดเข็มขัดนิรภัยแบบเต็มตัวในรุ่นมาตรฐานนั้นผู้ผลิตจะติดตั้งมาให้1จุดบริวณ   ด้านหลังของชุดโดยผ่านการทดสอบความปลอดภัยต่อการใช้งานตามมาตรฐานกำหนด 

  นอกจากนี้โดยทั่วไปห่วง D-Ring ที่ติดตั้งอยู่บนชุดเข็มขัดนิรภัยแบบเต็มตัวสามารถมีได้มากกว่า1จุดเช่นกัน ตามภาพ

 

 

  

     D-ring Back (ด้านหลัง) Fall arrestor rescue(ช่วยชีวิต)

     D-ring Front (ด้านหน้า) work suspension หรือ rescue(ช่วยชีวิต)

     D-ring ด้านบน เหมาะกับงานทำงานในที่แคบ                                               

     D-ring ด้านข้าง เหมาะกับงานทำงานในที่แคบ work positioning (สำหรับการทำงานบริเวณเดิมๆ)

 

         5. อุปกรณ์เชื่อมต่อ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ระหว่าง Body wear กับ Anchorage เพื่อเป็นการป้องกันการตกอย่างสมบูรณ์
  เช่น สายช่วยชีวิต

         -เชือกนิรภัยหรือสายช่วยชีวิต (Lanyard หรือ Lifeline) หมายถึง สลิง เชือก หรือวัสดุอื่น ที่มีความแข็งแรงใกล้เคียงกัน ยึดกับจุดยึดเกี่ยวในแนวนอนหรือแนวดิ่ง ใช้สำหรับยึดเกี่ยวหรือคล้องกับเชือก นิรภัยหรือสายช่วยชีวิตเพื่อยับยั้งการตก ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเคลื่อนที่ไป – มาตามทิศทางในขณะที่เคลื่อนที่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในระหว่างปฏิบัติงาน บนที่สูง เช่น บนหลังคา โครงสร้าง ช่องเปิด เป็นต้น) ความยาวเชือกควรมีระยะสั้นที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้ใช้พลัดตกไปเกิน 2 ฟุต ซึ่งเชือกสามารถทำจากวัสดุได้หลายชนิดทั้ง ลวดสลิง, โซ่, เชือกไนล่อน (โพลีเอไมด์) อาจจะมีเสริมอุปกรณ์ดูดซับแรง (Shock-Absorb) เพื่อลดแรงกระแทกเวลา 

     -  แบบเชือกก็มีหลากหลายให้ตัวผู้ใช้งานเลือกแล้วแต่ว่าผู้ใช้งานจะเลือกวัสดุแบบไหน แบบแรกคือ แบบหยักหรือที่เรียกว่ายางยืด สายเชือก สายแบน

     Single Lanyard w/o shock absorber เชือกเส้นเดี่ยวแบบไม่มี shock absorber

       -เหมาะกับ: Restraint ผู้ใช้งานไม่มีโอกาสตก

 

       Single Lanyard with shock absorber เชือกเส้นเดี่ยวแบบมี shock absorber เหมาะกับผู้ใช้งานไม่มีโอกาสตกและการทำงานที่มีโอกาสตก โดยต้องคำนวณระยะตกจากความสูงตัวอาคารจนถึงพื้นด้านล่าง

       Double Lanyard with shock absorber เชือกคู่แบบมี shock absorber เหมาะกับการทำงานที่มีโอกาสตก งานที่ต้องปีนป่าย โดยการทำงานของเชือกจะเป็นการล็อคแบบสองต่อ ล็อคข้างหน้าและข้างหลัง

 

    เชือกเส้นเดี่ยวพร้อมตัวล็อคสามารถปรับได้ เหมาะกับผู้ที่ทำงานกับอยู่กับที่

 

  

        Ropegrab เป็นอุปกรณ์ป้องกันการตกแนวดิ่งที่สามารถขึ้น-ลงเชือกได้อิสระ และยังสามารถล็อคเชือกได้ทันที เมื่อเกิดแรงกระชาก
  ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา ใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเชือกกันตกสำหรับบุคคล มีเปิดแผ่นด้านข้างเพื่อติดตั้งกับเชือกได้ทุกตำแหน่งที่ต้องการ
  แต่เมื่อปรับคันโยกลงก็สามารถหยุดอยู่บนเชือกได้ในจุดที่ต้องการ อุปกรณ์ตกกันสำหรับผู้ปฏิบัติงานบนที่สูงควรมี

        รอกตัวเล็กพร้อม shock absorber 

    ดยทั่วไปความยาวของรอกตัวเล็กที่นิยมใช้จะมีขาดอยู่ที่ 1.5 -2 เมตร ไปจนถึง 3 เมตร แต่ความยาว 3 เมตร คนมักนิยมใช้น้อย และตัวสายจะเป็นสายเชือกแบบแบนหรือที่เรียกว่า WEBBING นั่นเอง  ทำหน้าที่เหมือน Lanyard with shock absorber เพื่อสะดวกในการใช้งาน จะมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น ตัวล็อคจะล็อคทันทีเมื่อมีการตก เหมาะกับการทำงานที่มีโอกาสตก ปีนป่าย

 

 

         รอกตัวใหญ่  สายเคเบิลมีความยาวถึง 20-30 เมตร

        โดยความยาวของรอกตัวใหญ่จะมีความยาวตั้งแต่ 3 เมตรถึง30เมตร โดยสายในรอกตัวใหญ่จะเป็นสายเคเบิลหรือที่เรียกว่า SLING นั่นเอง ซึ่งจะแข็งแรงกว่าสายแบบWEBBING ที่ตัวสายเป็นเชือกแบบแบน เหมาะกับการทำงานที่มีโอกาสตก งานจัดของบนรถบรรทุก งานที่มีการเคลื่อนไหว หรือเดินเยอะ สามารถใช้ได้ทั้งเชือกกันตกแบบแนวดิ่งและแบบแนวนอน (เป็นแบบกันบาด)

      การคำนวณระยะการตกเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกอุปกรณ์กันตก มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

   1.ความยาวของเชือกนิรภัย

   2.ระยะที่อุปกรณ์ดูดซับแรงกระชากยืดออก

   3.ความสูงของผู้ใช้งาน

   4.ระยะพื้นที่ที่ปลอดภัย (3ฟุต)1เมตร

             ตัวอย่าง  ความยาวของเชือกนิรภัย (6 ฟุต) +ระยะที่อุปกรณ์ดูดซับแรงกระชากยืดออก (3.5 ฟุต) +ความสูงของผู้ใช้งาน (6 ฟุต) +ระยะพื้นที่ปลอดภัย (3 ฟุต)  ดังนั้นสามารถใช้อุปกรณ์กันตกกับความสูง18.5 หรือ 6เมตรขึ้นไป

 

              

 

 

วิธีการดูแลรักษาอุปกรณ์กันตก มีดังนี้ 

   - ตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนใช้งานทุกครั้งเพื่อหาร่องรอยความเสียหาย เช่น รอยฉีกขาด รอยแตก รอยร้าวหรือการสึกหรอ
   - ตรวจสอบส่วนประกอบต่างๆ เช่น หัวเข็มขัด ห่วง ตัวล็อค ว่าอยู่ในสภาพดีและใช้งานได้ปกติ
   - จัดตารางการตรวจสอบอุปกรณ์อย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นหากใช้งานหนัก
   - หลังการใช้งาน ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ทันที เพื่อขจัดสิ่งสกปรกคราบเหงื่อหรือสารเคมีที่อาจติดอยู่
   - ใช้น้ำสบู่อ่อนๆและแปรงขนนุ่มทำความสะอาด หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีสารเคมีรุนแรงเพราะอาจทำลายวัสดุของอุปกรณ์
   - ห้ามใช้น้ำแรงดันสูงในการทำความสะอาด เพราะอาจทำให้เส้นใยของสายรัดหรือเชือกกันตกเสียหาย
   - ผึ่งลมให้แห้งสนิทในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวกก่อนเก็บรักษา
   - เก็บอุปกรณ์ในที่แห้ง สะอาด และมีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการเก็บในที่อับชื้นหรือโดนแสงแดดโดยตรง
   - แขวนอุปกรณ์ในลักษณะที่ไม่ทำให้เกิดการบิดงอ หรือกดทับ
   - หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมี หรือวัตถุมีคม
 

 วิธีเช็คว่าอุปกรณ์กันตกเสื่อมสภาพหรือยัง มีวิธีสังเกตุดังนี้

1.ตรวจเช็คเรื่องอายุการใช้งานของอุปกรณ์ วิธีดูคือดูบนเชือกจะมี LABELที่จะระบุถึงปีผลิตที่ระบุอยู่หากมีการใช้งานที่เกิน5ปีแล้วนั้น หรือไม่สามารถเช็คปีผลิตได้หรือป้ายมีความเลือนลางของปีผลิต ตามคำแนะนำไม่ควรจะใช้อุปกรณ์นั้นแล้ว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของอุปกรณ์กันตกของผู้ใช้งาน หากมีสภาพตามที่กล่าวข้างต้นไม่แนะนำให้เอาอุปกรณ์กันตกอันนั้นมาใช้อีก

            ตัวอย่างภาพของอุปกรณ์ที่มีอายุการใช้งานเกิน

  

2.หากมีสนิมขึ้นบนอุปกรณ์ที่เป็นเหล็กหรือห่วงD-RING โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าสนิมนั้นไม่ได้กินเข้าไปในเนื้อของอุปกรณ์ของท่านแล้ว หากสนิมกินเนื้อเหล็กของอุปกรณ์ของท่านแล้ว ตัวชุดอุปกรณ์กันตกของท่านนั้นคืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้แล้ว วิธีตรวจเช็คว่าสนิมได้ขึ้นอุปกรณ์ของท่านถึงเนื้อเหล็กหรือยังมีวิธีเช็ค ดังนี้ 
    1.ตรวจสอบว่าเหล็กนั้นเป็นสนิมระดับที่เท่าไหร่ ดูว่าเป็นแค่ที่ผิวเหล็กหรือได้กัดกินเนื้อเหล็กแล้ว ตรวจสอบโดยการใช้มือลูบผิวเหล็กที่เกิดสนิม ถ้าสนิมหลุดออกมาด้วยแปลว่าเป็นแค่ที่ผิวเหล็ก
   2.ในกรณีตรวจสอบแล้วพบว่าชิ้นงานเป็นสนิมที่ผิวเหล็กต้องทำการขจัดออกด้วยวิธีต่างๆเช่น ฉีดน้ำแรงดันสูงให้สนิมหลุดออกมาหรือแช่น้ำอุ่นแล้วผสมกรดหรือวิธีการที่ผู้จำหน่วยแนะนำ
   3.หากตรวจสอบแล้วพบว่าเหล็กนั้นถูกสนิมกัดกร่อนถึงพื้นผิวแล้ว แสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นจะไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกเนื่องจากสนิมได้ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนั้นขาดคุณสมบัติได้

                    ตัวอย่างภาพของอุปกรณ์ที่ขึ้นสนิม

 

3.ถ้าบนอุปกรณ์การใช้งานมีรอยร่องรอยการชำรุด เช่น การรุ่ย เปื่อย เป็นขุย รอยปริ รอยถลอก ผู้ใช้งานไม่ควรนำมาใช้เป็นอันขาดเนื่องจากรอยต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นอาจทำให้ผู้ใช้เกิดอุบัติเหตุได้เนื่องจากเชือกนั้นไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

     ตัวอย่างภาพที่เกิดการชำรุดบนสายของอุปกรณ์

 

4.หากพบเจอรอยเขียนบนอุปกรณ์โดยปากกาเมจิหรือปากกาเคมี ไม่แนะนำให้ใช้งานเนื่องจากในปากกานั้นอาจจะมีสารเคมีไปทำปฎิกิริยากับตัวเชือกของอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน จึงแนะนำไม่ควรเขียนอะไรลงบนเข็มขัด/อุปกรณ์ที่ท่านใช้งานโดยตรง

 

                   ตัวอย่างภาพของอุปกรณ์ที่มีการเขียนลงบนอุปกรณ์

 


 

อ้างอิง

https://www.visualworkplaceinc.com/product/safety-poster-the-abcs-of-fall-protection/

https://www.tosh.or.th/index.php/blog/item/754-2020-07-16-08-35-58

https://thai-safetywiki.com/%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87-d-ring/

https://www.workandsafe.co.th/lifeline

https://fallprotec.com/certifications

https://www.naewna.com/local/665545