อุปกรณ์ป้องกันเสียง (Hearing Protection)
Hearing Protection (อุุปกรณ์ป้องกันเสียง)
อุปกรณ์ป้องกันเสียงควรถูกใช้เมื่อ มีการทำงานให้บริเวณที่มีเสียงสูงเกิน 85 decibels (A-weighted) หรือ dBA. หากทำงานในบริเวณที่มีเสียงเกิน 85 decibels อาจทำให้ส่งผลต่อการได้ยินในอนาคต ดังนั้นการเลือกที่อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่เหมาะสม และรู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้อวจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
ข้อแตกต่างหลักของอุปกรณ์ป้องกันเสียงอยู่ทีี่องค์ประกอบหลัก ดังนี้:
- ระดับของเสียงที่ต้องลดซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละหน้างาน
- ความเหมาะสมของทั้งผู้ใช้งาน และสถานที่ทำงาน/ หน้างานที่ต้องเผชิญ
- ส่วมใส่สบาย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุุคคล
การประเมินค่าเสียงที่ต้องลด
ทางโรงงานจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบระดับเสียง ซึ่งจะมีค่าเป็น NRR (Noise Reduction Rating) หรือเป็น SNR (Single Number Rating) ระบบการประเมินค่าเสียงทั้งสองนี้ เป็นเหมือนตัวกลางบ่งบอกว่าอุปกรณ์ลดเสียงแต่ละชนิดสามารถมีประสิทธิภาพในการลดเสียงได้กี่ decibels ดังนั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งาน/โรงงาน เลือกอุปกรณ์ลดเสียงให้เหมาะสมกับหน้างานได้ดียิ่งขึ้น
ประเภทของเสียงมีรายละเอียด ดังนี้:
1. เสียงดังแบบต่อเนื่อง (Continuuous Noise)
เสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.1 เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Strady-state Noise) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 3 เดซิเบล เช่น เสียงพัดลม เครื่องปั่นด้าย เป็นต้น
1.2 เสียงดังต่อเนื่องแบบไม่คงที่ (Non-state Noise) โดยมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 10 เดซิเบล เช่น เครื่องเจียร เป็นต้น
2. เสียงดังเป็นช่วงๆ (Intermittent Noise)
เสียงที่ดังไม่ต่อเนื่อง เสียงที่เงียบและเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องสลับกันไปมา เช่น เสียงเครื่องปั๊ม หรือเสียงจราจร
3. เสียงดังกระทบหรือกระแทก (Impact or Impulse Noise)
เป็นเสียงที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็วดยมีการเปลี่ยนแปลงเสียงมากกว่า 40 เดซิเบล เช่น การทุบเคาะอย่างแรง
3.1 Impact Noise เสียงที่เกิดขึ้นในที่ที่มีเสียงสะท้อน เช่น เสียงโลหะกระแทกในห้อง
3.2 Impulse Noise เสียงที่เกิดขึ้นในที่ที่ไม่มีเสียงสะท้อน เช่น เสียงดังใรที่โล่ง
ค่าถ่วงน้ำหนักความถี่ของเสียง (Weighting) สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
หมายเหตุ: โดยหน่วยที่ใช้วัดเสียงในการประกาศนี้ ใช้เป็นหน่วยวัดเดซีเบลเอ
Reference
http://www.ratchakitcha.soc.go.th
https://datacenter.deqp.go.th/